ศาสตร์เรื่องสั้น สำหรับนักหัดเขียนมือใหม่

ศาสตร์แห่งเรื่องสั้นและนิยาย
จำเป็นต้องมีพื้นฐานอยู่ 3 ประการคือ
1.ความขัดแย้ง – conflict
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีในนิยาย จะเป็นตัวแสดงความนัยให้เห็นทิศทางของนิยายเรื่องนั้น ทำให้เราได้รู้สึกว่านิยายเรื่องนั้นมีจุดมุ่งหมายไปยังที่ใด การควบคุมความขัดแย้งต้องมีวิธีการที่ดี แนบเนียนพิถีพิถัน สมจริงเพื่อความน่าเชื่อถือ
ความขัดแย้งในนิยายมีลักษณะที่จำเป็นต้องมีอยู่ 3 ประการคือ
1.1            จะเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในความขัดแย้งนั้น โดยเนื่องมาจากผลของการเข้ามาเกี่ยวข้องของตัวละคร ความขัดแย้งที่กำหนดเริ่มต้นไว้จะต้องค่อยๆเปลี่ยนสภาพไปจากที่เป็นในทางใดทางหนึ่ง
1.2            สองฝ่ายที่ขัดแย้งกันนั้นจะต้องมีกำลังเสมอกัน อันจะทำให้เกิดความสมดุลในโครงสร้างของเรื่อง นักเขียนที่มีฝีมือจะพยายามรักษาน้ำหนักการแพ้ชนะของทั้งสองฝ่ายให้ก้ำกึ่งกันอยู่ตลอดเรื่อง ความขัดแย้งที่ก้ำกึ่งไม่รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะไปนี้จะทำให้คนอ่านเกิดความสงสัยและเร้าใจให้ติดตามไปจนตลอดเรื่อง ไปรู้ผลเอาจริงๆตอนที่เรื่องจบลง
1.3            นิยายเรื่องนั้นจะต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือเรียกว่ามีเอกภาพ ทุกๆอย่างในนิยายนั้นไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง ตัวละคร สาระสำคัญของเรื่อง เนื้อหา สัญลักษณ์ มุมมอง ตลอดจนเหตุการณ์ที่กำหนดให้เกิดขึ้นจะต้องเกี่ยวข้องผูกพันเป็นผลของกันและกัน
แต่ที่ขาดไม่ได้ในนิยายก็คือความสมจริง ความสมจริงคือคุณภาพของเรื่องๆนั้น ความสมจริงในที่นี้หมายความถึง สถานการณ์หรือภาวะเหตุการณ์ที่กำหนดขึ้นนั้น ตัวละครในเรื่องจะต้องมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์หรือแสดงออกสอดคล้องต้องตามวิสัยของมนุษย์โดยทั่วไป
2.ตัวละคร –character
บุคลิกของตัวละครมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการบอกถึงธรรมชาติหรือลักษณะของเรื่องบอกถึงพัฒนาการในเรื่อง ผลที่ปรากฏ และบอกถึงผลกระทบของความขัดแย้ง คนเขียนจะต้องมีวิธีการที่จะสื่อสารทางอ้อม คือจะต้องแสดงให้เห็นว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่บอกตรงๆง่ายๆว่ามันเป็นเช่นนั้น นักเขียนจะต้องแสดงบทบาทความเป็นตัวละคร เนื้อหา อารมณ์ด้วยการแสดงนัยหรือใช้เชิงการแนะนำ ผู้อ่านจะต้องอ่านแล้วคิดและสร้างภาพอารมณ์ขึ้นมาเอง
มีกฎทั่วไปที่เน้นความสมจริงของตัวละคร และความสมจริงของความขัดแย้ง คือตัวละครที่ดูสมจริงที่สุดก็คือตัวละครที่มีลักษณะของบุคคลโดยประมาณใกล้เคียงกับชีวิตคนจริงๆ ที่มนุษย์สังเกตและรับรู้ได้มากที่สุด หมายความว่าตัวละครนั้นจะต้องมีความแน่นอน มีพฤติกรรมที่แน่นอน ปัญหาที่เราจะประสานความแน่นอนของตัวละครไปกับภาวะวิกฤติ( climax) ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ประการหนึ่งในการเขียนนิยายที่จะต้องเกี่ยวพันกับความเปลี่ยนแปลงของตัวละคร
กฎอีกข้อคือตัวละครที่สมจริงในนิยายจะต้องมีพัฒนาการ เพราะนิยายไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวละครแค่ว่าเป็นใคร ทำอไร แต่ยังต้องอยู่กับเหตุผลด้วยว่าเขาทำสิ่งนั้นๆทำไม ตัวละครในนิยายจะเปลี่ยนแปลงไปได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุผลที่สมควรมาสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ใช่นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเฉยๆ คือพัฒนาการของตัวละครจะต้องเป็นเหตุเป็นผล
นักเขียนที่ดีจะหลีกเลี่ยงตัวละครที่แบนมีเพียงด้านเดียว ง่ายเกินไปเดาบุคลิกได้ นักเขียนที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างความสมจริงให้กับตัวละครจะต้องเข้าใจและสามารถที่จะจับจุดผลกระทบของความซับซ้อนผสมปนเปที่ว่านี้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
3.สารสาระ แก่นของเรื่อง –theme
บางเรื่องนั้นนักเขียนใช้โครงเรื่องเป็นวิธีการสำคัญที่จะทำให้เรื่องสนุกน่าติดตาม บางเรื่องนักเขียนใช้ตัวละครที่มีบทบาทโดดเด่นและบางเรื่องนักเขียนจะใช้นัยความหมายที่แฝงอยู่ในเรื่องสิ่งนี้คือ สารสาระ
เราอาจให้คำจำกัดความสารสาระว่าคือสมมุติฐานซึ่งกล่าวหรือแสดงนัยแฝงไว้กับการเล่าถึงสถานการณ์ที่กำหนดอันเกี่ยวข้องกับบุคคลที่กำหนด
สารสาระในนิยายที่ดีคือ
3.1ความคิดในเรื่องของสารสาระจะต้องไม่ใช่อันหนึ่งอันเดียวกับข้อกำหนดทางศีลธรรม คือต้องไม่ได้สั่งสอนแต่เผยให้เห็น ไม่การสวดมนต์ชี้ให้เห็นดีชั่วแต่เป็นการสื่อความหมายในเชิงศิลปะ
3.2สารสาระในนิยายที่ดีจะต้องไม่เป็นความจริงสั้นๆเพราะชีวิตของมนุษย์นั้นซับซ้อน นิยายสร้างสรรค์จะแสดงให้เห็นความซับซ้อนนั้นไม่ใช่ปิดบังอำพราง นิยายที่เห็นโดยทั่วไปอาจจะพยายามย้ำว่าความดีชนะความชั่วได้ในที่สุดแต่จากการสังเกตชีวิตที่เป็นไปเราจะรู้ว่านั่นอาจจะผิดจากความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้ที่เราหวังจะพบคำตอบเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกต้องของคำจำกัดความของคำว่าสารสาระในนิยาย
ข้อสังเกตที่จะใช้เป็นพื้นฐานในการพิจารณาให้คำสรุปความหมายของสารสาระจากนิยาย
·      การลงความเห็นว่านิยายเรื่องนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร แต่ต้องไม่ลืมว่าเนื้อหาของเรื่องนั้นไม่ใช่สารสาระ ในการลงความเห็นว่าความที่กล่าวนั้นคืออะไรให้ดูหรือวิเคราะห์จาก
3.2.1ตัวละครในเรื่อง จะต้องพิจารณาจากตัวละครในเรื่องว่าเป็นคนอย่างไรแบบไหน เป็นตัวแทนของอะไรสื่อความหมายถึงสิ่งใด
3.2.2 สถานการณ์ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องจะเป็นสิ่งที่บอกถึงสารสาระของเรื่อง สถานการณ์ที่เกิดกับตัวละคร ปัญหาที่ตัวละครเผชิญ
3.2.3 ปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร
3.2.4    ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร
แค่นี้เราก็จะได้เค้าของสารสาระ แต่ต้องใส่ใจด้วยว่าสารสาระเป็นเพียงหนึ่งในสามของสิ่งจำเป็นพื้นฐานอันต้องมีในนิยาย มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อผลสำเร็จของนิยายได้อาจมีส่วนประกอบอื่นๆเพิ่มเข้ามาให้นิยายมีสีสันมากขึ้นไปอีก
มุมมอง – point of view
วิธีการพื้นฐานของนักเขียนร่วมสมัยทั่วไปคือการเล่าเรื่อง โดยใช้เครื่องมือคือ 1.การกระทำ 2.บทสนทนา 3.บทพรรณนา 4.บทแสดงความคิดเห็น 5.บทบรรยาย 6.มุมมอง ซึ่งมุมมองจะแยกประเภทไว้ดังนี้
·      บุคคลที่หนึ่งเป็นผู้เล่าเรื่อง
·      บุคคลที่หนึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์
·      นักเขียนเป็นผู้สังเกตการณ์
·      นักเขียนให้ตัวเองแทนตัวละครทุกตัว
หรือนักวิชาการอีกประเภทก็แบ่งไว้ดังนี้
·      มุมมองในแบบที่คนเขียนพูดและรู้สึกแทนตัวละครทุกตัว
·      คนเขียนพูดหรือรู้สึกแทนตัวละครเช่นกัน แต่ไม่ทุกตัวหรือไม่พูดหรือรู้สึกหมดหรือมากเท่ากับข้อแรก หรืออาจจะเป็นแบบบุคคลที่สามเป็นผู้เล่าเรื่องเป็นมุมมองของบุคคลที่สาม ซึ่งอาจเป็นตัวละครเอกหรือตัวรองในเรื่องนั้น
·      มุมมองของบุคคลที่หนึ่ง ผู้เล่าเรื่องหรือบรรยายจะเป็นตัวเอกของเรื่องหรืออาจเป็นตัวละครที่ไม่สำคัญตัวอื่น
·      มุมมองภายนอก หมายความว่าถ้าหากเรื่องในนิยายนั้นเกิดขึ้นในวงกลม ผู้บรรยายหรือผู้เล่าก็เปรียบเสมือนอยู่นอกวงกลมมองเข้าไปและเล่าเรื่องตามภาพของเหตุการณ์ที่เห็น
ยังมีอีกทัศนะของนักวิชาการที่แบ่งไว้ดังนี้
·      มุมมองแบบนักเขียนรู้ไปหมด
·      มุมมองแบบบุคคลที่หนึ่ง
·      มุมมองแบบบุคคลที่สาม
โฟกัส – focus
นักเขียนจะต้องไม่เปลี่ยนมุมมองของตนอย่างเด็ดขาด โดยทั่วไปนักเขียนมีทางเลือกอยู่สองทางที่จะดำเนินการบรรยายหรือเล่าเรื่อง คือจะใช้บุคคลที่หนึ่ง (ผม ฉัน ข้าพเจ้า) หรือบุคคลที่สาม (เขา มัน เธอ)

ประสบการณ์ในโลกวรรณกรรม ตอนที่ 2

 ประสบการณ์ในโลกวรรณกรรม ตอนที่ 2

หลังจากที่เราตอบกลับไปยังสนพ.แล้ว วันรุ่งขึ้นก็ได้รับอีเมลตอบกลับมาทันที
เดือนกุมภาพันธ์, วันที่ 17…… 08.30 น.
“สวัสดีค่ะ คุณเค
         ที่ถามมาแทมมารีนขอตอบแบบรวม ๆ เลยแล้วกันนะคะ ทางคุณเคจะแต่งเสร็จประมาณเดือนไหนคะ ตั้งเป้าหมายไว้หรือเปล่า แต่งเสร็จแล้วค่อยส่งก็ได้ค่ะ ถ้าทราบหรือคาดคะเนได้ แทมมารีนจะได้จองคิวอ่านของกองบอกอให้

ถ้าผ่านจะได้พิมพ์หนังสือไวไวค่ะ รู้สึกดีจังเจอแฟนพันธ์แท้อีกคนนึงด้วย
         ยินดีนะคะ ที่วางใจและสนใจให้ D-evil ตีพิมพ์ ค่ะ
                                ขอบคุณมากค่ะ
                                     แทมมารีนค่ะ
ปล อย่าลืมเมล์ตอบถึงเวลาที่จะแต่งเสร็จให้แทมมารีนทราบนิดนึงนะคะ จะได้มาร์คไว้ให้”

>_<  ดีใจจริงๆ ในใจก็คิดนะว่า สนพ.นี้ดีจริงๆ ทำงานรวดเร็ว
แต่เอ...... O_O
-_-?  เริ่มรู้สึกเอะใจแปลกๆ “สามารถจองคิวกองบก. ได้เลยนะคะ เท่าที่เคยได้ยินมานิยายที่ส่งเข้าไปให้สนพ. พิจารณาต้องรอพิจารณาตามคิว 1 – 3 เดือนนี่นา แล้วทำไมคนนี้ถึงบอกว่าจองคิวได้เนี่ย”
สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าที่ทำงานบริษัทXXX ที่เขาบอกมาด้วยในอีเมลนั้น เป็นที่อยู่เดียวกันกับสนพ. D-evil แต่!!!!!!!!! ทำไมชื่อบริษัทไม่ใช่อันเดียวกันหว่า
O_O ตอนนี้เราคิดไปไกลแล้ว เอ..หรือว่าเป็นโจร เคยได้ยินว่ามี writer โดนหลอกแบบนี้ด้วยนี่นา และเพื่อความไม่ประมาท เราจึงตอบอีเมลกลับคุณแทมมารีนทันที

เดือนกุมภาพันธ์, วันที่ 18.....เที่ยงคืน
“ถึงคุณแทมมารีน 
            เรื่องเวลาขอคิดดูก่อนนะคะ ถ้าได้คำตอบยังไงจะรีบเมลแจ้งค่ะ 

            นิยายเรื่องนี้เริ่มเขียนยังไม่ถึงเดือน ได้แค่ประมาณ 35 ค่ะ แต่มีโปรแกรมที่จะต้องไปเที่ยวค่ะไม่สามารถยกเลิกได้เลยทำให้มีรู้ระยะเวลาค่ะว่าจะพิมพ์เสร็จวันไหน
            และอยากทราบอีกอย่าง บริษัทXXX ทำหน้าที่อะไรให้สนพ. E-devilคะ 
            และขอโทษล่วงหน้าอีกครั้งคือว่า อยากทราบว่าคุณแทมมารีนทำหน้าที่อะไรในบริษัทคะ เหมือนๆ แมวมองเหรอคะแล้วทำไมคุณแทมมารีนถึงจะจองคิวบก.ได้ด้วยล่ะคะ แบบว่าคุณแทมมารีนสแกนแล้วนิดนึง อะไรอย่างนั้นรึเปล่าคะ
            ขอโทษที่ถามนะคะ อยากสอบถามเอาไว้เพื่อประดับความรู้น่ะค่ะ  ^_^ 
 
                                                  ขอบคุณและจะรีบตอบกลับนะคะ
                        เคค่ะ
            พอส่งไปแล้วก็รอลุ้นค่ะ ถ้าเป็นคนของสนพ.จริงๆ ก็คงจะดี แต่ถ้าเป็นพวกหลอกลวงก็คงจะแย่ แล้วตอนเที่ยงทางคุณแทมมารีนก็ตอบอีเมลกลับมาค่ะ
“คุณเคคะ
         XXX คือ บริษัทฯ ที่แทมมารีนทำเกี่ยวกับโฆษณาค่ะ ไม่เกี่ยวกับสนพ.D-evil
แต่แทมมารีนทำงานช่วยพี่บอกอ ที่ E-devil ด้วยค่ะ เป็นผู้ช่วยบอกอค่ะ
อ่านแล้วก็สกรีนว่าพล็อตดีมั๊ย เขียนภาษาสวยหรือเปล่า ไรแบบนี้หล่ะค่ะ
ทำไมแทมมารีนสามารถจองได้ เพราะว่าแทมมารีนมีหน้าที่หาต้นฉบับโดยตรง 
นักเขียนมักจะถามว่าจะได้ออกหนังสือเดือนไหน ก็จะทราบล่วงหน้าได้ค่ะ
ถ้ามีการรู้คิวล่วงหน้ากันก่อน
          ยินดีที่เลือก E-devil อีกครั้งค่ะ 
                                              แทมมารีนค่ะ

O_O” คำตอบอ่านแล้วสับสนดีจริงๆ เลย คนไม่เคยติดต่อกับสนพ.เช่นเราจะทำอย่างไรดีน้า และแล้วก็ตัดสินใจส่งอีเมลไปหาสนพ. D-evil ค่ะ โดยส่งข้อความทั้งหมดที่คุยกับคุณแทมมารีนเข้าไปให้สนพ.ดู พร้อมทั้งสอบถามว่าคุณแทมมารีนมีตัวตนอยู่ในสนพ.จริงใช่หรือไม่
ในใจก็คิดว่า ถ้าไม่ใช่พนักงานของสนพ.จริงๆ สนพ.ก็จะได้รู้เรื่องว่ามีคนแอบอ้าง แต่ถ้าใช่ก็ต้องอีเมลไปแจ้งขอโทษเขาอีกครั้งพร้อมทั้งคำอธิบาย
และคำตอบที่ได้มาก็คือ ^_^ คุณแทมมารีนเป็นพนักงานจริงๆ และถามหน้าที่ตามที่แจ้งมาจริงๆ
โล่งอกจริงๆ ค่ะ แต่พอรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็ส่งอีเมลกลับไปชี้แจงทั้งทางสนพ.D-evil และทั้งคุณแทมมารีนค่ะ

ปล. Based on true story 

ประสบการณ์ในโลกวรรณกรรม ตอนที่ 1

ตอนที่ 1
เดือนมกราคม 2554
         จากคนที่ชอบอ่านนิยายออนไลน์ แอบชื่นชอบพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่แต่งนิยายและความที่เป็นคนที่ชอบสะสมนิยาย มีความใฝ่ฝันเหมือนใครหลายๆ คนว่าอยากจะมีหนังสือของตัวเองสักเล่มหนึ่ง
         แล้วเราก็เริ่มลงมือทำทันที ด้วยการหัดแต่งนิยายนำไปโพสลงในเว็บไซด์หนึ่ง ผลตอบรับดีเกินคาด มีคนเข้ามาอ่านเป็นพันเป็นหมื่นคน ยอดเม้นจากวันแรกๆ ที่ไม่มีใครเม้นเลย นานวันเข้าก็มีคนเข้ามาเม้นเพราะเราขยันอัพทุกวัน ด้วยความที่มือใหม่ไฟแรงและใจรัก พล๊อตนิยายน่ะเหรอ คิดสดๆ พิมพ์สดๆ พิมพ์เสร็จก็โพสหน้าเว็บกันเลยทีเดียว

เดือนกุมภาพันธ์ 2554, วันที่ 16

          วันที่อากาศร้อนซะจนเหมือนอยู่ท่ามกลางทะเลทราย แต่เราก็ยังตั้งใจแต่งนิยายเพื่อโพสลงเว็บต่อไป ความสุขในการได้ทำสิ่งที่เรารักและชอบนี่มันดีจริงๆ
          วันนี้เราเปิด hotmail ขึ้นมาเพื่อเช็กอีเมลจากเพื่อน แต่ก็เจออีเมลหนึ่งแปลกประหลาดกว่าเพื่อน
   " สวัสดีค่ะ 

    ติดตามอ่านนิยายที่คุณแต่งสนุกดีค่ะ มีครบทุกรสจริง ๆ ไม่ทราบว่า นิยายเรื่องนี้ส่งให้สำนักพิมพ์ไหนพิจารณาหรือยังคะ ถ้ายังสนใจส่งให้ D-evil พิจารณามั๊ยคะสอบถามเพิ่มเติมได้ที่แทมมารีนนะคะ เบอร์ด้านล่างเลยค่ะ
   หวังว่า D-evil  จะได้รับความไว้วางใจนะคะ

                                      ขอบคุณมากค่ะ
                                         แทมมารีนค่ะ "

   16/02/54 เวลา บ่าย 2
      O_O  "กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด สนพ.สนใจนิยายเราด้วย" ตอนนั้นดีใจมากถึงมากที่สุด ไม่มีอะไรจะเทียบแล้ว ปีนถึงยอดภูกระดึงหรือมีคนกด Like ถึง 100 คนยังไม่ดีใจเท่านี้เลย ^O^
      เราก็ตอบอีเมลกลับไปทันทีค่ะ ว่าสนใจแต่เราแต่งสดๆ ไม่มีพล๊อตที่แต่งโครงเรื่องเอาไว้ และที่แน่ๆ ตอนนี้ยังแต่งไม่จบ และเราก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าแต่งจบเราจะส่งไปให้ทางสนพ.D-evil 
พิจารณาอยู่เหมือนกัน  ถ้าเราสนใจจะส่งนิยายไปให้ เราต้องทำยังไงบ้างคะ และก็แจ้งไปด้วยว่าทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ งานเขียนคืองานอดิเรก ประมาณว่าอยากให้เข้าใจว่าหากล่าช้ายังไงก็โปรดเข้าใจด้วย        วันนั้นโลกเป็นสีชมพูค่ะ ความรู้สึกดีๆ พุ่งพล่าน ดีใจสุดๆ........



****ติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^ 

บทนำ - พรหมเล่ห์รัก (Destiny...I fall in love)

บทนำ



            รถบัสขนาดเล็กที่แล่นอยู่ระหว่างทางไปโรงแรมในประเทศจีน เสียงหวานของหญิงสาวร่างบางพึมพำอย่างถูกใจ สายสร้อยข้อมือหยกสีเขียวถูกชูขึ้นมาตรงหน้าหลังจากที่เธอยอมควักเงินซื้อเครื่องประดับชิ้นแรก ทั้งๆ ที่เธอมาถึงเมืองจีนได้นับวันนี้รวมเข้าก็เป็นวันที่หกซึ่งพรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการเดินทาง ก่อนจะต้องขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยในวันพรุ่งนี้เที่ยวบ่ายสามโมงครึ่ง      
            “หนึ่งร้อยหยวนถูกเหมือนได้เปล่าจริงๆ ไปบอกใคร ใครเขาก็คงอิจฉา ฮ่าๆๆ ถูกใจจริงๆ เลย”
            หญิงสาวนั่งชื่นชมสร้อยข้อมือหยกที่ซื้อมาด้วยราคาที่ถูกอย่างเหลือเชื่อ เธอซื้อมาจากร้านขายเครื่องประดับที่ไกด์พาไป เป็นร้านที่ใหญ่โตโอ่อ่ามีการต้อนรับที่ดีแก่นักท่องเที่ยวชาวไทย การเดินทางมาเมืองจีนในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงการเดินทางอย่างกะทันหัน เดิมทีเธอซื้อทัวร์ไปเที่ยวญี่ปุ่นแต่เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหาภัยธรรมชาติไม่มีความปลอดภัย ทางบ้านของเธอจึงขอร้องให้เปลี่ยนโปรแกรมการท่องเที่ยวให้เลื่อนออกไปก่อนหากยังต้องการจะไปเที่ยวประเทศเดิมอยู่
            หญิงสาวไม่อยากสูญเสียโอกาสในการพักผ่อนนี้ไปเพราะเธอเพิ่งเรียนจบจึงอยากจะพักผ่อนสมอง ก่อนจะต้องเข้าทำงานช่วยบิดาดูแลกิจการของครอบครัวจึงปรึกษากับบริษัทที่ขายทัวร์ให้เปลี่ยนประเทศ สรุปสุดท้าย...ตอนนี้เธอก็ได้มาเที่ยวเมืองจีนเป็นครั้งแรกแม้จะไม่ใช่เมืองในฝันแต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี
            เมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมา
            ก่อนจะกลับขึ้นรถบัสเพื่อพาเข้าที่พักภายในร้านหยกทีซีวายที่ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน วีณากำลังยืนตะลึงในความงามของรูปปั้นพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมและรูปปั้นเทพเจ้าอีกสององค์ที่ตั้งอยู่ภายในร้านขายหยกแห่งนี้ ทั้งเธอและเหล่าลูกทัวร์คนอื่นๆ ต่างหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกและเข้าไปกราบสักการะขอพรพระกันถ้วนหน้า
            เมื่อเห็นว่าไกด์กำลังกวาดต้อน...ที่เธอต้องเรียกว่ากวาดต้อนก็เพราะว่าไกด์จะต้องพาลูกทัวร์เข้าไปตามสถานที่ที่มีอยู่ในโปรแกรมทัวร์ให้ครบทุกที่และครบทุกคน เพราะมีข้อตกลงกันระหว่างรัฐบาลจีน บริษัททัวร์และร้านค้าว่าจะจ่ายค่าตอบแทนให้ตามจำนวนหัวของลูกทัวร์
            หากลูกทัวร์เข้าฟังไม่ครบทุกคนและอยู่ไม่ครบยี่สิบนาทีทางบริษัททัวร์จะหักเงินไกด์เมื่อการเดินทางสิ้นสุด เพราะฉะนั้นไกด์จึงพยายามกวาดต้อนเหล่าลูกทัวร์ที่กำลังถ่ายรูปหรือเกาะอยู่ตามตู้กระจกที่โชว์สร้อย แหวนและกำไลพาเข้าไปนั่งในห้องบรรยายของทางร้านให้ได้
            ที่นี่เหล่าลูกทัวร์ต่างได้รับการต้อนรับด้วยน้ำชาดอกมะลิร้อนๆ ทุกคน สักพักพนักงานของร้านขายหยกก็ออกมาพูดด้วยภาษาไทยที่ชัดเจนเรียกความประทับใจได้ง่ายดายจากลูกทัวร์ หรืออาจเป็นเพราะคนไทยใจดีบวกกับความขี้เล่นเป็นกันเองทำให้หญิงสาวชาวจีนผู้นี้กลายเป็นที่เอ็นดูของลุงป้าน้าอา
            จากคนแปลกหน้าเริ่มกลายเป็นคนคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดเพราะพนักงานร้านขายหยกหน้าตาจิ้มลิ้มพยายามจะสื่อสารด้วยภาษาไทย ทำให้เหมือนเป็นคนรู้จักกันมานานภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ก่อนลูกทัวร์ทั้งหลายจะได้รับแจกหยกที่ทำเป็นรูปเหรียญของจีนกันทุกคน
            หลังจากที่พิธีกรบรรยายเกริ่นนำเรื่องความรู้ในการดูหยกเบื้องต้นเรียบร้อยแล้วก็ถึงกระบวนการพาเหล่าขาช็อปจากเมืองไทยที่วีณาได้ยินเสียงพูดคุยตั้งแต่ในรถบัสว่า...จะไม่ซื้อเพราะเมืองไทยน่าจะถูกกว่า บ้างก็จะกลับไปซื้อแถวแม่สายในเมื่อหยกที่นำมามันเป็นหยกพม่าไม่ใช่หยกเมืองจีน
            หลายๆ คนเห็นพ้องต้องกันว่า จะกลับไปซื้อที่เมืองไทยบ้างก็จะกลับไปซื้อที่พม่า รวมทั้งเธอเองก็คาดว่าจะไม่ซื้อเหมือนกัน เพราะไม่ได้ชอบอะไรมากมาย
            เวลาผ่านไปห้านาที
            หลังจากที่ออกมาเดินชมสินค้าที่ตั้งวางอยู่ในตู้กระจกอย่างดี เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้น เมื่อพนักงานของร้านขายหยกที่บอกว่าตัวเองมีชื่อเรียกภาษาไทยว่า...อัญมณี เอ่ยขึ้นว่า
            “ พิเศษสำหรับลูกทัวร์ไทยชุดนี้เท่านั้นนะคะเนื่องจากทางร้านจะไปเปิดสาขาใหม่ที่เมืองไทยเป็นสาขาที่ 67 ทางเรายินดีคิดราคาสร้อยข้อมือหยก จากปกติราคา 368 หยวน เราคิดเพียง 100 หยวนเท่านั้นค่ะ”
            พอสิ้นเสียงประกาศทุกคนเริ่มเข้าไปมุงดูแผงสร้อยข้อมือหยกเขียวชุดนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครเอื้อมมือไปแตะสายสร้อยข้อมือดูสักคนและเมื่อพนักงานเริ่มพิสูจน์ความเป็นหยกแท้ให้ดูโดยการนำเม็ดหยกที่อยู่ในสร้อยข้อมือเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย กดลงกับกระจกหนาหนึ่งเซนติเมตรจนกระจกแตกละเอียด แต่เม็ดหยกไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนแสดงถึงคุณสมบัติของหยกแท้พม่าที่มีความแข็งกว่ากระจก
            คราวนี้เหล่าลูกทัวร์ก็ฮือฮารุมเข้าไปดูเครื่องประดับที่อยู่ในตู้ทันที รวมทั้งเธอด้วยที่ยอมเจียดเงินที่จะเก็บเอาไว้ซื้อบัวหิมะกลับบ้านมาซื้อสร้อยข้อมือหยกเส้นเล็กๆ สักเส้นเพราะราคาที่ลดแล้วนั้นทำให้วีณายอมควักเงินซื้ออย่างไม่ลังเลใจ
            “น้องคะ...สร้อยข้อมือสองเส้นนี้เส้นไหนเนื้อดีกว่ากันคะ?”
            วีณาชูสร้อยข้อมือหยกหลังจากที่เธอเลือกแล้วขึ้นมาสองเส้น เอาไว้ทั้งมือซ้ายและขวาอย่างละเส้น
            “เส้นนี้ค่ะพี่ หยกจะมีลายเมฆมากกว่าค่ะ” เสียงภาษไทยแปร่งหูอธิบาย
            เมื่อพนักงานร้านชี้ที่สายสร้อยข้อมือหยกที่ถืออยู่ข้างขวามือ วีณาจึงยื่นสร้อยข้อมือเส้นนี้ให้พนักงานนำไปใส่ถุงก่อนจะหยิบธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนออกมาหนึ่งใบยื่นให้เมื่อพนักงานนำกล่องที่บรรจุสร้อยข้อมือเอาไว้มายื่นให้เธอ

            ในรถบัสที่แล่นเข้ามาจอดหน้าโรงแรมที่พักคืนนี้เรียบร้อยแล้วแต่วีณายังคงชื่นชมสร้อยข้อมือหยกอย่างชอบใจ เธอมั่นใจว่าร้านนี้ได้เงินจากลูกทัวร์ไปหลายหมื่นหยวนอย่างแน่นอนเพราะหญิงสาวเห็นว่าพวกคุณป้าคุณน้าคุณอาทั้งหลายควักเงินซื้อกำไลหยกราคา 4000 หยวนกันคนละวงสองวง ซึ่งวีณาภูมิใจว่าเธอเสียแค่หนึ่งร้อยหยวนเป็นคนเดียวที่เสียน้อยที่สุดในเหล่าลูกทัวร์คณะนี้แล้ว
            “ได้หยกราคาถูกมาแถมยังได้เหรียญหยกมาฟรีๆ อีกหนึ่งเหรียญด้วยอะไรจะโชคดีขนาดนี้นะ”
            วีณาเก็บสร้อยข้อมือหยกลงไปในกล่องของมันก่อนจะเก็บเอาไว้ในถุงกระดาษรวมกับเหรียญหยกที่ได้รับมาฟรี พับถุงกระดาษยัดเก็บเข้ากระเป๋าเดินทางที่พนักงานเอาออกจากใต้ท้องรถมาวางไว้หน้าโรงแรมทันที แล้วเธอก็เดินตามคณะทัวร์ไปทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรมด้วยความหิว
            ภายในกล่องที่วีณาเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทาง สร้อยข้อมือหยกหากมองดูจะเห็นไอสีดำล้อมรอบสายสร้อยข้อมือเอาไว้ พลังงานที่ตาเปล่าของมนุษย์ไม่สามารถรับรู้และมองเห็นมันได้ พลังงานที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไปว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร...........

E-Book พรหมลิขิตรัก



พรหมลิขิตรัก (Destiny...I love you.)

สามารถอ่านได้ในรูปแบบ e-book แล้วค่ะ


กด Link ได้เลยค่ะ




บทความที่ใหม่กว่า หน้าแรก

ค้นหาบล็อกนี้

กด Like ให้กำลังใจได้นะคะ

ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ

นักเขียนฝึกหัดนามปากกา

i green monkey + อีก 3

ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

รูปภาพของฉัน
Thailand
เป็นผู้หญิงที่พยายามฝึกหัดเขียนนิยายให้ดี เทียบเท่ากับความสามารถในการเลี้ยงหมาน้อยที่บ้านให้อ้วนเป็นลูกขนุน ^^
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ผู้เยี่ยมชม

Followers


Recent Comments